วันหนึ่งเรานัดกันเข้าเวียงกัน....จากท่าวังผา ไปอำเภอเมือง น้องแพรวจะพาอานกกับอาชายเที่ยวในเวียง....เธอมีโพยอยู่ในมือดังนี้
ไกด์สาวแก้มใสของอานกเป็นคนเตรียมพร้อมทุกอย่างค่ะ หมวก ร่ม แว่นตา ยาดม....นมกล่อง ขนมปัง สมุดโน๊ตปากกา กล้องถ่ายรูปพร้อมออกเดินทาง
อานกเป็นคนบ้ากล้องถ่ายรูปตลอดเวลาแม้แต่ทางก็ยังถ่าย น้องแพรวบอกว่า
"ทางมันก็คือทางอ่ะอานก.....ถ่ายทำม๊ายยยยย"
อานกไม่ได้บอกหลานว่าทางที่บ้านอานกไม่ได้สวยอย่างงี้....ไม่ได้มีดอกสักบานสะพรั่งอย่างงี้ อานกไม่เคยเห็นทางสวยๆอย่างงี้ค่ะบ้านอามีแต่ทางด่วนและเสาตอหม้อค่ะ
เธอนอนหนุนตักเราแล้วว่า
"อานก...ร้องเพลงให้ฟังหน่อย "
...ตายละวา
อานกร้องเพลงเป็นที่ไหน๊....เอาละวะ......เปิดคาราโอเกะเพลงพื้นเมืองที่ติดรถอยู่ชื่อเพลงมาเมี๊ยะ...ขึ้นมา...คิดว่าเป็นภาษาเหนือ น้องแพรวคงฟังออก.......กระท่อนกระแท่นไปเรื่อย.....ตอนไหนร้องไม่ได้ก็ใช้เล่าเอาเป็นภาษาพูด....น้องแพรวถามว่าทำไมเขาแต่งงานกันไม่ได้ล่ะคะ
ก็เจ้าชายเป็นราชบุตร แต่งงานกับหญิงชาวบ้านไม่ได้น่ะซิ......เศร้าไหม...ความรักมักเป็นฉะนี้แลเฮย....
ไม่เศร้าค่ะ.......อานกร้องไม่รู้เรื่อง
.........................
ง่า............งั้นเปลี่ยนเพลงเป็น........พี่สาวครับดีไหม........
"ได้ๆ...อันนี้หนูร้องได้ "
เราก็เริ่มลัลละลัลล้าทันที ทั้ง3คนกะอาชายด้วย
อาชายถามทางว่าไปไงต่อจ๊ะ
" ตรงซื่อๆเลยอา"
เรา2คนหัวเราะก๊ากค่ะ.........ตรงซื่อๆเลยอา55555555สำนวนคุณเธอ
ตรงยังไงอ่ะคะ ตรงซื่อๆ
"ก็ถ้าเจอป้อมตำรวจก็ไม่ต้องเลี้ยวหลบน๊า....แต่หนูโดดลงก่อน...อิอิ....."
เธอหัวเราะฮิฮะ.......สะใจ
อานกเปรยว่าถ้ามีลูก อยากมีแบบน้องแพรว
" ไปขอที่วัดช้างค้ำนะ จะได้มีลูกสาว ตอนแรกหนูเป็นผู้ชาย พอแม่ไปขอหนู หนูเลยกลายเป็นผู้หญิงล่ะ "
อืมม์..อานกจะลองเก็บไปคิดดูก่อนและนี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่คิดว่าอยากมีลูกค่ะ....แม้ว่าจะเป็นแว่บเล็กๆประมาณ1นาทีก็ตาม......ขอบใจน้องแพรวมาก
แต่ภาพนี้จากพระธาตุแช่แห้งนะ
เราเดินไปเรื่อยๆในวัดนะคะ นึกในใจว่าเวลาไปเห็นวัดที่สุโขทัย อยุธยาล้วนมีวัดช้างล้อมและช้างค้ำทั้งนั้นนะคะ ให้นึกสงสัยเป็นกำลังว่าทำไมต้องช้างค้ำด้วย...มีที่มาที่ไปอย่างไรหนอ....คนมันขี้สงสัยก็เลยลองค้นดู
2อันนี้ ภาพจากวัดช้างค้ำ
ได้พบว่าในสมัยพศ.705....โอ นานมากๆมาแล้วนะคะ ทางอินเดียหรือลังกาเขาเชื่อกันว่าพระพุทธเจ้าเคยเสวยพระชาติเป็นพญาคชสารค่ะ พระเจ้าทุฐฏคามนี ( กษัตริย์ลังกาสมัยอนุธารปุระ )รบชนะพวกทมิฬทางใต้ ก็เลยทรงได้สถาปนาสถูปช้างล้อมไว้ไว้เป็นที่ระลึก คล้ายๆว่าช้างนั้นเป็นผู้ค้ำจุนศาสนา
จากนั้นก็แวะเดินตลาด ดูอาหารการกินในตลาดราชพัสดุ แถวหน้าโรงแรมเทวราช...ยามบ่ายวันหนึ่ง ( ตลาดนี้ติดราวบ่าย2-บ่าย3 )เหตุที่ไม่ไปกาดเช้านั้น เพราะตื่นไม่ทันนั่นเองนะคะ......
โดยส่วนตัวรู้สึกว่าอาหารแบบภาคกลางเยอะมากเหมือนกัน.....แต่เน้นมองหาแต่ของที่เราไม่ค่อยคุ้น....มาลองของแปลกๆใหม่ๆกันบ้าง
ที่ชอบมากที่สุดคือน้ำพริกน้ำปู แม่ค้าบอกว่าทำยาก ต้องไปจับปูนามาให้ได้ซะก่อน แล้วตำน้ำปูกับพริก แบบว่า....รสชาติอร่อยเด็ดขาดบาดใจมากค่ะ แทบลืมน้ำพริกหนุ่มไปเลยทีเดียว
ต่อมาก็น้ำผัก น้ำพริกข่าและแหนม( อันนี้รสเด็ดมาก ซื้อกลับมาทานที่กรุงเทพแล้วติดใจมากๆค่ะ)
แอ๊บอ่องออหรือแอ๊บสมองหมู...ผ่านความร้อนโดยการปิ๊งสุกแล้ว....นัยว่าครอเลสตอรอลสูงนิดนึงนะอันนี้
รถด่วน....ขบวนสุดท้ายรึเป่าไม่รู้ รู้แต่ว่าขายกันเยอะทีเดียว ต้องเอาไปคั่วก่อนนะ
หน่อไม้เยอะที่สุด...คนเป็นเก๊าต์โปรดพิจารณา
ไปกินรังแตนที่ไหนมา คือคำทักทายเวลาอารมณ์บ่จอย.....นี่คือหน้าตาของรังแตนที่ว่า เราทานส่วนที่ขาวนั่น ตัวมันนะ ต้องเอาไปปรุงให้สุกเสียก่อน
ตำบะหนุน.....หรือตำขนุน..รสไม่จัด รสชาติเหมือนทานหัวปลี...
แกงโฮะ
แกงหน่อไม้
หลานแซวว่าอานกซื้อกับข้าวยังกะจะไปเลี้ยงขันโตก.....ซื้อเยอะมากตามประสาคนบ้าเห่อ......55555
อโวคาโดและกบตัวใหญ่ยักษ์ เข้าใจว่ากบเปรอะนะคะ.....มีอยู่มากตามภูเขา(เดาเอานะ )แต่ไม่ได้ลงรูปเพราะมันทำท่าแผ่สองสลึง...ออกจะน่ากลัวนิดนึงเลยไม่ได้ลงนะคะ โปแป้งกลัวกบล่ะ แหะๆ
อาหารพื้นเมืองโดยมาก มีผักสดจิ้มเสมอๆ..เนื้อสัตว์เห็นมีมากก็ไก่เมือง เข้าใจว่าคือไก่บ้าน ขายเป็นตัวๆ ตัวไม่ใหญ่นัก ปลาน้ำจืดเยอะ....พวกหมูหรือเนื้อนั้นสังเกตดูว่าเขามักจะใช้เครื่องในประกอบด้วยในทุกๆอย่างนะคะ ไม่ว่าลาบคั่ว แกง ขนมจีนอะไรก็แล้วแต่...เล่นเอาเราคนไม่ทานเครื่องในช้ำใจ...กลับบ้านกันค่ะ เป็นวันที่สนุกดีมาก
ลาด้วยภาพนี้นะคะ นี่จากพระธาตุแช่แห้งไว้จะเขียนถึงอย่างละเอียดอีกทีนะ สำหรับวัดและพระธาตุต่างๆ
ขออภัยที่ต้องหายไปอีกแล้ว ชีพจรลงเท้าน่าดู ขอบคุณที่แวะมาติดตาม ทักทาย ถามไถ่ ฝากข้อความไว้ได้นะ กลับมาแล้วเจอกันใหม่ค่า
โปแป้ง
ลิงค์ของตอนต่างๆอยู่ตรงนี้น๊า
ใส่ผ้าถุง นุ่งซิ่น กินข้าวนึ่งที่เมืองน่าน ตอนที่1สารบัญ
ใส่ผ้าถุง นุ่งซิ่น กินข้าวนึ่งที่เมืองน่าน ตอนที่2 ไปวัดไทลื้อ
ใส่ผ้าถุง นุ่งซิ่น กินข้าวนึ่งที่เมืองน่าน ตอนที่3 หอศิลป์ริมน่านกับพี่วินัย ปราบริปู
ใส่ผ้าถุง นุ่งซิ่น กินข้าวนึ่งที่เมืองน่าน ตอนที่4 ขุนเขาแห่งปัวและต้นไม้จั๊กจี้
วันศุกร์ที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2553
แอ่วเมืองน่าน........กินอาหารเมืองเหนือ
ชวนไปเที่ยวไปทานข้าวนึ่งที่เมืองน่านกันค่ะ......เพิ่งกลับมา เลยเอาภาพมาฝากยั่วน้ำลายเล่นๆ
ส่วนบล็อกท่องเที่ยวเมืองน่าน เชิญทางนี้น๊าชื่อ ใส่ผ้าถุง นุ่งซิ่น กิ๋นข้าวนึ่ง....ยังเขียนไว้แค่สารบัญ....แต่คิดถึงเพื่อนห้องครัวเลยมาอวดกันก่อน
ใส่ผ้าถุง นุ่งซิ่น กินข้าวนึ่งที่เมืองน่าน ตอนที่1สารบัญ
ใส่ผ้าถุง นุ่งซิ่น กินข้าวนึ่งที่เมืองน่าน ตอนที่2 ไปวัดไทลื้อ
ใส่ผ้าถุง นุ่งซิ่น กินข้าวนึ่งที่เมืองน่าน ตอนที่3 หอศิลป์ริมน่านกับพี่วินัย ปราบริปู
ใส่ผ้าถุง นุ่งซิ่น กินข้าวนึ่งที่เมืองน่าน ตอนที่4 ขุนเขาแห่งปัวและต้นไม้จั๊กจี้
อันนี้จากร้านชื่อเฮือนฮอม อยู่ข้างๆพิพิธภัณฑ์สถานจังหวัดน่าน...เดินออกประตูเล็กข้างหลังมา อยู่ตรงข้ามเซเวนค่ะ........
ที่อร่อยเด็ดก็คือขนมจีนน้ำเงี้ยวและข้าวซอย....สั่งลาบคั่ว น้ำพริกหนุ่มและไส้กรอกมาอีกด้วย (ไส้อั่ว ที่นี่เรียกว่าไส้กรอก )....อันนี้เป็นมื้อกลางวันวันหนึ่ง
ส่วนเวลาไปเที่ยวตามโบราณสถานและวัดอะไรต่างๆ เรามักพกกระติ๊บข้าวเหนียวไป แล้วก็หาหมูทอด ทานง่ายๆติดไปด้วย ไม่ต้องจอดแวะทานเต็มรูปแบบให้เสียเวลานะคะ
อันนี้ต้นงิ้วและหนาม......เพิ่งเคยเห็นครั้งแรกที่บ้านพี่วินัย ปราบริปู ที่หอศิลป์ริมน่าน..( เดี๋ยวไว้เล่าเรื่องหอศิลป์อีกที )โปแป้งสอบถามจากใครต่อใคร เค๊าว่าออกดอกสวยนัก แต่ออกในหน้าร้อนค่อนมาทางต้นฝน แถวๆเดือนมิถุนายน ช่วงเข้าพรรษา แล้วเค๊าก็จะเก็บดอกมาตากแห้ง เก็บไว้ทำขนมจีนน้ำเงี้ยว
ภาพนี้ถ่ายที่พระธาตุแช่แห้ง.....เดี๋ยวคราวหน้าพาเที่ยวไปในตลาดกันค่า
ส่วนบล็อกท่องเที่ยวเมืองน่าน เชิญทางนี้น๊าชื่อ ใส่ผ้าถุง นุ่งซิ่น กิ๋นข้าวนึ่ง....ยังเขียนไว้แค่สารบัญ....แต่คิดถึงเพื่อนห้องครัวเลยมาอวดกันก่อน
ใส่ผ้าถุง นุ่งซิ่น กินข้าวนึ่งที่เมืองน่าน ตอนที่1สารบัญ
ใส่ผ้าถุง นุ่งซิ่น กินข้าวนึ่งที่เมืองน่าน ตอนที่2 ไปวัดไทลื้อ
ใส่ผ้าถุง นุ่งซิ่น กินข้าวนึ่งที่เมืองน่าน ตอนที่3 หอศิลป์ริมน่านกับพี่วินัย ปราบริปู
ใส่ผ้าถุง นุ่งซิ่น กินข้าวนึ่งที่เมืองน่าน ตอนที่4 ขุนเขาแห่งปัวและต้นไม้จั๊กจี้
อันนี้จากร้านชื่อเฮือนฮอม อยู่ข้างๆพิพิธภัณฑ์สถานจังหวัดน่าน...เดินออกประตูเล็กข้างหลังมา อยู่ตรงข้ามเซเวนค่ะ........
ที่อร่อยเด็ดก็คือขนมจีนน้ำเงี้ยวและข้าวซอย....สั่งลาบคั่ว น้ำพริกหนุ่มและไส้กรอกมาอีกด้วย (ไส้อั่ว ที่นี่เรียกว่าไส้กรอก )....อันนี้เป็นมื้อกลางวันวันหนึ่ง
ส่วนเวลาไปเที่ยวตามโบราณสถานและวัดอะไรต่างๆ เรามักพกกระติ๊บข้าวเหนียวไป แล้วก็หาหมูทอด ทานง่ายๆติดไปด้วย ไม่ต้องจอดแวะทานเต็มรูปแบบให้เสียเวลานะคะ
อันนี้ต้นงิ้วและหนาม......เพิ่งเคยเห็นครั้งแรกที่บ้านพี่วินัย ปราบริปู ที่หอศิลป์ริมน่าน..( เดี๋ยวไว้เล่าเรื่องหอศิลป์อีกที )โปแป้งสอบถามจากใครต่อใคร เค๊าว่าออกดอกสวยนัก แต่ออกในหน้าร้อนค่อนมาทางต้นฝน แถวๆเดือนมิถุนายน ช่วงเข้าพรรษา แล้วเค๊าก็จะเก็บดอกมาตากแห้ง เก็บไว้ทำขนมจีนน้ำเงี้ยว
ภาพนี้ถ่ายที่พระธาตุแช่แห้ง.....เดี๋ยวคราวหน้าพาเที่ยวไปในตลาดกันค่า
Come again Paris..ตอน...Lost in the Louvre
รูปนี้ถ่ายเมื่อฤดูใบไม้ร่วง คราวที่แล้วนะ
วิธีที่จะเที่ยวในลูฟให้สนุกและได้ประโยชน์สูงสุดคือ ตรงไปที่แผนที่ที่เขามีไว้บริการนะคะ ฟรี ส่วนค่าเข้าชม9ยูโรเศษและวันพุธดีที่สุดเพราะเปิดถึง4ทุ่มแน่ะ จะให้ดีควรไปเช่าหูฟังที่มีภาษาต่างๆบรรยาย ไม่อย่างงั้นจะขาดข้อมูลไปซักหน่อยนะคะ สำหรับค่าเช่าก็ตกราว4-5ยูโร
มีงานศิลปะจัดแสดงอยู่มากถึง 35,000 ชิ้น เรียกว่าดูกันไม่หวาดไม่ไหว
คนมาเข้าคิวซื้อตั๋วเยอะมากนะคะ จะเป็นเครื่องให้เราหยอดเงินลงไป รับแบงค์5 10และ20ค่ะ เป็นแบบTOUCH SCREENมีภาษาให้เลือก
เข้าไปห้องแรกมีชิ้นงานประติมากรรมจากอิยิปต์ กรีก Etruscan and Roman Antiquities /Pharonic Egypt เรียกว่าโซน sully wing ( ถ้าจำไม่ผิดนะ )
เลี้ยวขวาตรงบันไดขึ้นมา มองไปสุดห้องจะพบชิ้นมาสเตอร์พีซอีกชิ้นหนึ่งชื่อว่า The Wingrd Victory of Samothrace ที่ถูกขุดค้นพบที่เกาะSamothrace ประเทศกรีซเมื่อปี1863 ที่พิพิธภัณฑ์เคยพยายามเติมปีกขวาให้เธอ แต่ไม่สำเร็จ ก็เลยปล่อยให้เธออยู่ของเธอปีกเดียวแบบนี้ต่อไป
ดูๆไปแล้วลืมว่านี่ทำจากหินนะ ดูอ่อนช้อยมากเลย ดูมีเนื้อหนังมังสานิ่มๆล่ะ
แหงนหน้าดูเพดาน ก็สวยสมกับที่เคยเป็นพระราชวังเก่ามาแต่ก่อน ดูออกไปทางหน้าตาจะเห็นความใหญ่โตและสวยงามของลูฟซึ่งถูกพระเจ้าหลุยส์ที่14ละทิ้งไปอยูแวร์ซายแทนน่ะนะ ลูฟก็เลยแปรสภาพมาเป็นบ้านของศิลปินและที่เก็บงานศิลปะของราชวงศ์และกลายมาเป็นพิพิธภัณฑ์โดยสมบูรณ์เมื่อปี 1793
ส่วนนี้เป็นอิตาเลียนเพ้นติ้งนะคะ โดยมากว่ากันด้วยเรื่องของศาสนาและสังเกตว่าเป็นภาพที่ใช้หลักสมดุลย์สองข้างเท่ากันเกือบทั้งหมด นัยว่าเป็นหลักการจัดองค์ประกอบภาพที่นิยมมากในสมัยนั้น
อันนี้ส่วนหนึ่งของลีโอนาโด ดาวินชี ก่อนจะไปถึงโมนาลิซ่า นางเอกของลูฟที่ใครๆก็เดินตามหาเธอกันให้ควั่ก
ภาพนี้ของลีโอนาโดชื่อ Vergin and Child With Saint Anne วาดขึ้นในยุคเดียวกับโมนาลิซ่าเหมือนกัน
รูปนี้จำไม่ได้ว่าของใคร วิชาประวัติศาสตร์ศิลป์ก็ตกแล้วตกอีก น่าเขกหัวตัวเองจริงๆ...นี่แน่ะ
เดินผ่านห้องหนึ่งมีศิลปินมายืนทำรีโปรดักชั่นอยู่ด้วย ดูซิเหมือนต้นฉบับไหม
และแล้วก็มาถึง โมนาลิซ่าผู้โด่งดัง ภาพเล็กนิดเดียวเองค่ะคนแน่นมากเลย ต้องกระยื้อกระแย่งแบ่งกันดู
ยังมีต่อนะ เอาไว้ตอนหน้าดีกว่าเดี๋ยวจะยาวไป
ตึกที่ทำงาน ในวันฟ้าใส
กลับมาทำงานๆๆๆๆและทานข้าวเย็นคนเดียวในห้องที่โรงแรมนะคะ ก็มองหาอาหารสำเร็จรูปใน monoprix มาตุนไว้ได้เลย monoprixนั้นคล้ายๆว่าเป็นซุปเปอร์มาร์เก็ต ขายของใช้ของทานที่มีกระจายตัวอยู่ทั่วไปในปารีส พวกยาสีฟัน สบู่อะไร ถ้าลืมเอามาจากบ้านก็ซื้อได้ที่นี่
วันนี้ซื้อแค่สลัด ( เดรสซิ่งเค็มกะหลีปี๋ทานกับพสาต้าแซลมอน และน้ำส้มทรอปปิคานา1กล่อง )
ใครสนใจก้เข้าไปหาข้อมูลต่อได้ที่นี่ค่ะ เว็บไซต์ของลูฟเค๊า
http://www.louvre.fr/llv/commun/home.jsp?bmLocale=en
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)